ความคิดสมัยใหม่
(Modernism)
ในสมัยศตวรรษที่ 19 กระบวนการ Enlightenment ก่อให้เกิดยุคสมัยใหม่ เป็นยุคแห่งเหตุผล(The Age of Reason) ขึ้นมาแทนที่ศาสนาซึ่งตรึงอยู่กับศรัทธา(Faith) ยุคที่เชื่อในความก้าวหน้า(Progression) ซึ่งทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม และแผ่ขยายไปถึงด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม รวมไปถึงสุนทรียศาสตร์
- เกิดคำที่มีความหมายแบบ เสรีภาพ อิสรภาพ ปัจเจกภาพ
- เกิดการต่อต้านการควบคุมและต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมจากโครงสร้างความคิดเก่าทางศาสนา
- เกิดขบวนการประชาธิปไตย (เสรีภาพ, อิสรภาพ, และประชาชน)
- เกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ และสังคมนิยม (ต่อมาได้ล่มสลายลงในปลายคริสตศตวรรษที่ 20)
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
- ปลายคริสตศตวรรษที่ 18 มีการก่อตั้งสถาบันและกรมศิลปกรขึ้นมา ทำให้เป็นอิสระจากศาสนาและราชสำนัก
- ทั่วโลกถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมตะวันตกโดยผ่านระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่ต้องการให้มีวัฒนธรรมที่เป็นแบบเดียวกันในการแพร่กระจายผลผลิต
- คนผิวขาว(White Man) เป็นใหญ่ ค่อนข้างมีอิทธิพลครอบงำ และอ้างความมีวัฒนธรรมที่สูงกว่าชนชาติอื่นๆ
- ผู้ชายเป็นใหญ่ ขาดความเสมอภาคระหว่างหญิง/ชาย
ด้านสุนทรียศาสตร์
- เรียกร้องให้สุนทรียภาพมีความเป็นอิสระจากเรื่องศีลธรรม
- ให้คุณค่าอย่างสูงมากต่อสิ่งใหม่ๆ
- ปฏิเสธความงามที่ปราศจากประโยชน์ใช้สอย ซึ่งเนื่องมาจากยุคพัฒนาทางด้านเครื่องจักร
- ทางด้านสถาปัตยกรรมเกิดแนวคิดแบบ Form Follow Function
- ปฏิเสธลวดลายและสิ่งประดับหันมาชื่นชอบกับรูปทรงเรขาคณิต(แบบเครื่องจักร) และความเรียบง่าย
- ปฏิเสธสไตล์ท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมประจำชาติ ให้การเชิดชูความเป็นสากล(International Styles) ซึ่งก่อให้เกิดแนวทางการออกแบบสมัยใหม่ขึ้น
ในวงการศิลปะและการออกแบบ Modern Art เกิดขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1860 ถึง1970 ซึ่งศิลปินสมัยนั้นได้ทดลองวิธีการใหม่ ในการมองภาพและสร้างสรรค์งาน ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของวัตถุและองค์ประกอบของของศิลปะ ความคิดแบบนามธรรมเข้ามามีบทบาทและแสดงถึงลักษณะพิเศษของศิลปะแนวใหม่ เกิดรูปแบบศิลปะร่วมสมัย เพราะความคิดของงานศิลปะสมัยใหม่นั้น มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความทันสมัยและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป
แม้ว่างานปติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่จะปรากฏในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่การเริ่มต้นของภาพวาดสมัยใหม่ปรากฎออกมาได้เร็วกว่า การกำเนิดของศิลปะแนวใหม่นั้นเริ่มเกิดขึ้นในปี 1863 ซึ่ง Édouard Manet ได้จัดแสดงภาพวาด Le déjeuner sur l'herbe ใน Salon des Refusés ในกรุงปารีส ทำให้เกิดแนวทางที่บุกเบิกศิลปะสมัยใหม่คือ Romantics, Realists และ Impressionists
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 คือแนวทาง Fauvism, Cubism, Expressionism และ Futurism สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้นำจุดจบมาสู่ช่วงนั้น และเกิดเริ่มต้นการเคลื่อนไหวต่อต้านศิลปะ อาทิเช่นแนวความคิด Dadaism และงานของ Marcel Duchamp ศิลปะและวรรณคดีที่เน้นหนักในเรื่องของจิตใต้สำนึก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพียงไม่กี่ปี ภาวะเศรษฐกิจได้เติบโตอย่างรวดเร็ว เมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปและอเมริกาเริ่มฟื้นตัว ผังเมืองมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่และห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้น รวมถึงรถยนตร์และถนนหนทางต่างๆ ศิลปินและปัญญาชนต่างก็รวมกันเพื่อก่อตั้งเป็นกลุ่มศิลปินที่มีแนวคิดก้าวหน้า (Avant-garde groups) และในช่วงนี้เองที่ลัทธิ Modernism ได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่ ในวงการจิตรกรรม จิตรกรเช่น Wassily Kandinsky Piet Mondrien หรือ Casimir Malevich ได้อธิบายถึงหลักการของศิลปนามธรรม (Abstract Art) ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน แนวคิดในเรื่องพื้นที่ว่างและรูปแบบนามธรรมได้ถูกนำไปใช้ในวงการสถาปัตยกรรมและประยุกต์ศิลปแขนงต่างๆ
กลุ่มนักออกแบบ De Stijl (The Style) ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงปี 1917 สมาชิกของกลุ่มเช่น Theo van Doesburg และสถาปนิก Gerrit Rietveld ได้นำแนวคิดที่เคร่งครัดของลัทธิเหตุผลนิยม (Rationalism) ซึ่งเป็นแนวคิดทางศิลปที่มีความซับซ้อนมาก พื้นที่ว่างและพื้นผิวที่ได้ตัดทอนรูปทรง ที่แสดงให้เห็นในผลงานของนักออกแบบกลุ่ม De Stijl ซึ่งเน้นองค์ประกอบของรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และนิยมใช้สีสันโดยเฉพาะแม่สีในขั้นที่1 เช่นสีเหลือง สีแดงและสีน้ำเงิน Gerrit Rietveld ได้นำความคิดของเขาออกแบบเก้าอี้ Roodblauwe Stoel (ผลงานในช่วงปี 1918-1924) รวมถึงงานสถาปัตยกรรมของเขาเช่นบ้าน Schroder House ที่สร้างในปี 1924
หนึ่งในศูนย์กลางทางศิลปะที่สำคัญของศิลปินหัวก้าวหน้าในศตวรรษที่ 20 คือกลุ่ม Bauhaus ซึ่งก่อตั้งโดย Walter Gropius ที่เมือง Weimar ในปี 1919 แม้ว่าในตอน เริ่มแรกนั้น จะได้อิทธิพลจากทฤษฎีของกลุ่ม De Stijl แต่ได้ปรับให้เข้ากับการใช้งานจริงและสภาพแท้จริงทางสังคม บรรดาสถาปนิก ช่างฝีมือ จิตรกร ประติมากร และอาจารย์พิเศษจำนวนมากต่างทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดภายในสถาบัน Bauhaus โดยพัฒนาแนวคิดซึ่งก่อให้เกิดโฉมหน้าของ Modernism ในศิลปประยุกต์ทุกแขนง พวกเขาพยายามค้นคว้าหานิยามบทสรุปที่ว่า การมุ่งเน้นประโยชน์ใช้สอยที่นำไปสู่ของการออกแบบ (Functionalist approach to design) ที่จำเป็นต่อมนุษย์ในยุคของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งคำว่ายุคของเครื่องจักร(Machine Age) ได้เกิดขึ้นในยุคนี้เอง
ก้าวที่สำคัญของ Bauhaus คือผลงานเก้าอี้ของ Marcel Breuer ในปี 1925 ที่ออกแบบเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านพักอาศัยตัวแรกๆ ที่ทำด้วยเหล็กท่อกลม (Tubular steel) และ Ludwig Mies van der Rohe ได้ออกแบบเก้าอี้ตัวแรกที่อาศัยหลักการคานยื่น (Cantilever Chair)
นับตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์เหล็กท่อกลมมีความเหมาะสมต่อการผลิตเฟอร์นิเจอร์อุตสาหกรรมเป็นต้นมา ด้วยผิวสัมผัสที่เย็น รูปลักษณ์ที่ดูสะอาดและแข็งแรง และรูปแบบใหม่ของการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมกับยุคสมัย วัสดุชนิดนี้จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วโดยนักออกแบบและสถาปนิก
ในประเทศฝรั่งเศส สถาปนิกนักออกแบบ Le Corbusier หรือ Rene Herbst และ Eileen Gray เป็นนักออกแบบที่สำคัญและมีอิทธิพลอย่างสูงในกลุ่ม Modernism เฟอร์นิเจอร์เหล็กท่อกลมที่มีชื่อเสียงของพวกเขาซึ่งยังคงบุด้วยหนังแม้ในปัจจุบัน และในผลงานของ Pierre Chareau เราจะเห็นการเชื่อมโยงของศิลป Art Deco ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในฝรั่งเศสช่วงนั้น
ประเทศรัสเซียถือเป็นประเทศแรกที่มีการปกครองภายใต้ระบอบสังคมนิยม นับตั้งแต่การปฏิวัติในเดือนตุลาคมปี 1918 และได้กลายเป็นศูนย์กลางของศิลปหัวก้าวหน้า (Avant-Garde Art) กลุ่มศิลปินในกรุงมอสโคว์ต่างแสวงหารูปแบบที่เป็นนามธรรมและนำไปสู่ทิศทางของการออกแบบ ซึ่งถือเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันในชื่อลัทธิ Constructivism และ Suprematism
Modern Art ได้เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในงานแสดงคลังสรรพาวุธ ในปี 1913 และผ่านทางศิลปินยุโรป ที่ได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาตอนสงครามโลกครั้งที่1
แม้ว่าอเมริกาจะกลายเป็นจุดรวมของการเคลื่อนไหวทางศิลปะกลุ่มใหม่ แต่ก็แค่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น ในช่วงปี 1950 และปี 1960 ได้เห็น การเกิดขึ้นของ of Abstract Expressionism, Color field painting, Pop art, Op art, Hard-edge painting, Minimal art, Lyrical Abstraction, Postminimalism และความหลากหลายทางการเคลื่อนไหวอื่นๆ ในปลายปีช่วง 1960 และปีช่วง 1970 Land art, Performance art, Conceptual art, และรูปแบบศิลปะใหม่ๆอื่นๆ ได้ดึงดูดความสนใจของหัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์และนักวิจารณ์ทำให้เวลานั้น จำนวนของศิลปินและสถาปนิกเริ่มปฏิเสธความแนวความคิดแบบ Modernism ช่วงเวลานี้เองที่เป็นจุดสิ้นสุดของแนวความคิดแบบ Modernism และนำไปสู่แนวความคิดแบบ Postmodernism ในเวลาต่อมา
อ้างอิง